อาณาจักรใต้ท้องทะเลแอตแลนตีส

http://ainews1.com/article289.html

Bookmark and Share

ท้องทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก ที่น่าสนใจ บางโซนเต็มไปแด้วยดงภูเขาไฟใต้ทะเลนับไม่ถ้วน บางโซนก็มีร่องรอยแยกของเปลือกโลกมองเห็นได้ชัดเจน บางโซนก็เป็นที่ค่อนข้างราบ มีเนินเขาประปรายอยู่ห่างๆ  อาณาจักรที่น่าสนใจนี้อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ผ่านเมืองสวานาและแจ๊คสันวิลล์ ในรัฐฟลอริดา ทางฝั่งสหรัฐฯ และใต้ประเทศมอรอคโค และสหร่าตะวันตก ทางฝั่งยุโรป

เค้าโครงและร่องรอยของอาณาจักรใต้ทะเลแห่งนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ อยู่ห่างจากทางฝั่งยุโรปออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1,000 กม. จะเริ่มเห็นร่องรอยของเมืองใหญ่ ไล่ไปทางทิศตะวันตกเรื่อยไป จะยิ่งเห็นผังเมืองมีถนนตัดกันเป็นบล๊อคๆอย่างชัดเจน พื้นที่เมืองส่วนใหญ่เป็นที่ค่อนข้างราบ  ส่วนถัดไปทางตะวันตกมากเข้าจะเป็นดงภูเขาไฟใหญ่ใต้ทะเล และรอยแยกของเปลือกโลกมากมาย เมื่อท่านคลิกที่ลิงค์ข้างใต้แล้ว ค่อยๆเลื่อนภาพไปทางทิศตะวันตก และตะวันออกก็จะค่อยๆมองเห็นร่องรอยของอดีต ที่น่าจะเป็นสถานที่ตั้งอาณาจักรใหญ่ในทำเลที่ดีไม่น้อยทีเดียว ที่ได้รับการเปิดเผยจากพระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ ถึงความก้าวหน้าในวิชาความรู้และเชี่ยวชาญในการใช้พีระมิด เป็นอาณาจักรแห่งพีระมิดเลยทีเดียว จากการช่วยเหลือของชาวโลกอังคาร ซึ่งพีระมิดมีคุณประโยชน์ในการดำรงชีวิต ที่สะดวกสบายและประหยัดไร้มลภาวะ

และจะยิ่งน่าตื่นเต้น ถ้าอาณาจักรโบราณแห่งนี้ใกล้จะครบวงรอบวาระ 13,000 ปีที่รอคอย และจะมีโอกาสที่เปลือกโลกส่วนนี้จะถูกยกตัวขึ้นมาเหนือน้ำทะเลกลับมาอีกวาระหนึ่ง หากเป็นอาณาจักรแอตแลนตีส อย่างในอดีตนั้น อาณาจักรนี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาก ใช้พลังงานไปถึง 7 ระดับ เหนือจากชั้นปรมาณูขึ้นไปอีก 2 ระดับ จากพลังความร้อน แสง เสียง พลังแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานปรมาณู เส้นแสง และการเปลี่ยนวัตถุเป็นเส้นแสง และสลับกลับมา ลักษณะคล้ายกับวิชาอภิญญาใหญ่ในปัจจุบัน

เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ นักพยากรณ์ผู้มีชื่อเสียงของอเมริกา กล่าวว่าในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 20,0000 ลงมาจนถึง 10,700 ปี ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80,000-90,000 ปี

atlantis_pashos.jpg picture by Drakuli_2006 

ขอให้สังเกต เครื่องหมายบอกทิศเหนือ

แสดงว่าในสมัยแอตแลนตีส ขั้วเหนือใต้สลับกับยุคปัจจุบัน

เอ็ดการ์ เคย์ซี กล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์ มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมี โอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า

พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคม หรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมา ให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่า พื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามา ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512

ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว  ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกัน ก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อย และประณีตเช่นนั้น เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต  

บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง

มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส


เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี

ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของเทพโพซีดอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โตเป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก

ได้ทราบจากท่านพระอาจารย์รัตน์ว่า ในอาณาจักรแอตแลนตีส มีพีระมิดใช้อย่างแพร่หลายมาก และใช้ประโยชน์จากพีระมิดได้หลายอย่าง มีชาวดาวอังคารมาให้ความรู้

ความลับของพีระมิด
สุดยอดเทคโนโลยี ที่หลงเหลือจาก...แอตแลนติส
โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

ความ ลี้ลับมหัศจรรย์ของ “พีระมิด” และ “พลังพีระมิด” ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ต่อภูมิปัญญาของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัยตราบเท่าจนปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดเจนได้ว่า ใครคือผู้สร้างพีระมิด มหาพีระมิดทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังพีระมิด” มีประโยชน์อย่างไร

ความรู้เกี่ยวกับ “พลังพีระมิด” ที่ได้เรียบเรียงขึ้นนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่รู้ได้ด้วย การใช้ญาณทัสนะ

 Image

ศึกษาจากฐานความรู้ สาเหตุของการสร้าง ใครเป็นผู้สร้าง รวมทั้งการประยุกต์ เพื่อนำประโยชน์ของ “พลังพีระมิด” มาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมในการฝึกสมาธิ และฝึกการใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคและ สร้างภูมิต้านทานด้วยตนเอง และในอนาคต พีระมิด และสฟิงซ์ ยังมีภารกิจสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ กับอาณาจักรของชาวแอดตแลนตีส...เปลือกโลกมันเป็นเช่นที่ เอ็ดการ์ เคย์ซี่ ให้ความเห็นเอาไว้ มันมีทั้งลอยขึ้น และจมลง ซึ่งแผนที่โลกใหม่ของ นายกอร์ดอน สแกนเลี่ยน พอจะให้ภาพอนาคตของเปลือกโลกในยุคที่ 5 นี้ที่น่าสนใจไม่น้อย

ฉะนั้นองค์ความรู้เหล่านี้จึงมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากแหล่งความรู้อื่น เพราะความรู้เหล่านี้ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่เข้ามาพิสูจน์ได้ ดังนั้น แต่ละบุคคลจะสามารถเรียนรู้และสัมผัสในพลังจิตและพลังพีระมิดได้จริงจากการ ทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้นไม่ใช่เรียนรู้จากการอ่าน และสร้างความรู้สึกคล้อยตาม

ฐานที่มาของความรู้เรื่องพีระมิด พลังพีระมิด พอจะกล่าวย่อๆ ได้ดังนี้

จากประวัติศาสตร์โลก เมื่อประมาณ 10,000 ปีเศษ ได้กล่าวถึงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มีความเจริญรุ่งเรืองมากบนทวีปแอตแลนติก ชาวแอตแลนตีสในยุคนั้นมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิตสูงมาก โดยเฉพาะความรู้ในการสร้างพีระมิดและนำพลังแกนพีระมิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งวิวัฒนาการในการสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยการนำพลังงานเส้นแสงมาใช้ซึ่งอาวุธชนิดนี้เรียกว่า “อาวุธแสง”

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สามารถค้นพบพลังงาน และนำมาใช้ประโยชน์เพียง 5 ชนิดจากจำนวนพลังงาน 7 ชนิด คือ

  1. พลังงานความร้อน
  2. พลังงานแสง
  3. พลังงานเสียง
  4. พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
  5. พลังงานปรมาณู
  6. พลังงานเส้นแสง
  7. การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานเสงเป็นวัตถุ

พลังงานลำดับที่ 6 คือพลังงานเส้นแสง นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้ค้นพบแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา แต่ชาวแอตแลนตีสในยุคที่ผ่านมาถึง 10,000 ปีเศษ ได้มีการนำพลังงานตัวนี้มาใช้ก่อนแล้ว

พลังงานลำดับที่ 7 คือการเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นความสามารถของมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนต่างดาวที่อยู่ในครอบครัวสุริยะจักรวาล เช่นเดียวกับดาวโลกของเรา จึงสะดวกในการนำหินก้อนใหญ่ๆมาติดตั้งทำพีระมิด และติดตั้งหินก้อนเดียวทำสฟิงซ์ซึ่งยาว 73 เมตร สูง 20 เมตร หนักหลายร้อยตัน

ชาวแอตแลนตีสได้นำอาวุธแสงมาใช้ในสงครามทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เกิดคลื่นความถี่สูง เกิดคลื่น Resonance frequency ของเปลือกโลก จนนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้อาวุธแสง ทำให้ทวีปแอตแลนติก เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแผ่นดินทรุด ยุบตัวลง เปลี่ยนสภาพจากผืนแผ่นดินเป็นมหาสมุทรในชั่วค่ำคืน อาณาจักรแอตแลนตีส จึงยังคงจมอยู่ใต้มหาสมุทรตราบจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าหากเมื่อใดที่การย้อนรอยของธรรมชาติปรากฎขึ้น อาวุธแสงถูกนำมาใช้อีกครั้ง อาณาจักรแอตแลนตีส อาจจะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก อวดตนเองแก่สายตาชาวโลกอีกวาระหนึ่ง

ซึ่งพระอาจารย์รัตน์เพิ่งมาเปิดเผย ในงานสัมมนาเจาะลึกภัยพิบัติ ที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 19 ธ.ค. 2553 ที่ ม.ศรีปทุมเกือบตลอดทั้งวัน ว่า 1 ทุ่ม ของ วันที่ 1 ม.ค. 2554 ท่านอาจารย์และคณะศิษย์จะร่วมกันส่งพลังจิต ไปเหยียบเท้าขวาของสฟิงซ์ ที่ประเทศอียิปต์ เพื่อเปิดมิติ ให้สฟิงซ์ดูดพลังงานไม่ดีจากจักรวาลอันโดรเมดา ลงสู่ใต้ดิน เพื่อช่วยลดระดับความรุนแรงของการย้ายขั้วโลกเหนือใหม่ ไปที่สฟิงซ์ให้แกนโลกใหม่ชี้ไปทางทิศตะวันออก เพื่อช่วยรักษาชีวิตของพลโลกเอาไว้เพิ่มมากขึ้น...วิธีช่วยเหลือพลโลกให้รอดชีวิตมากขึ้นของช่าวดาวอังคารเพิ่งเปิดเผยโฉมกลางงานสัมมนาครั้งนี้เอง

และท่านอาจารย์รัตน์ ยังได้กล่าวเชิญชวนให้ผู้สนใจ ลองหันหน้าไปทางทิศตะวันออก นึกถึงเท้าขวาของสฟิงซ์ ที่ประเทศอียิปต์ ขอให้สฟริงซ์ดูดสิ่งเลวร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราลงสู่ใต้โลก ลดสาเหตุความเจ็บป่วยขัดข้องต่างๆออกไป ในวันที่ 2 ม.ค. 2554 แล้วท่านจะสัมผัสแรงหมุนได้ด้วยตัวของท่านเอง เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ทุกคนลองพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง..อ่านต่อที่ลิงค์นี้

(วัตถุหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆจะมีความถี่อันหนึ่ง เป็นลักษณะเฉพาะตัว หากมีคลื่นในความถี่นั้นเกิดขึ้น โครงสร้างของสะพาน หรือสิ่งใดก็ตาม จะแตกหักพังลงมาทันที นักวิทยาศาสตร์เรียกคลื่นชนิดนี้ว่า Resonance frequency จึงห้ามมิให้ทหารเดินสวนสนามบนสะพาน หากเกิดแรงสั่นสะเทือนในจังหวะหนึ่ง สะพานอาจพังลงมาได้)

ก่อนที่จะเกิดสงครามที่นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรประมาณ 1 เดือน นักบวชชาวแอตแลนตีสรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น กับทวีปแอตแลนตีส นักบวชรูปนี้ได้นำชาวแอตแลนตีสที่เชื่อในคำพยากรณ์เดินทางออกมาจากทวีปและ ได้สร้างที่อยู่ใหม่ในดินแดนของชาวอียิปต์อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้ถ่ายทอด สู่ชาวอียิปต์ โดยเฉพาะการสร้างพีระมิดและการใช้ประโยชน์จาก พลังพีระมิดในยุคอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์...คงจะมีชาวแอตแลนตีสเก่าจำนวนหนึ่ง มาเกิดในยุคนี้ พร้อมๆกับนักบวชรูปนั้นก็ได้ 

ผลลัพธ์การค้นหาสำหรับ "orientis tabula"
    
ดู อาณาจักรแอตแลนตีส? ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

อาณาจักรแอตแลนตีสเก่า?

เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนๆต่างวัยทุกคน ฟรี ที่ลิงค์ /article385.html     Bookmark and Share