มารู้จักองค์ประกอบสิ่งมีชีวิตบนโลก (กายและพลังงาน) http://www.ainews1.com/article327.html เจ้าภาพใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก ก็คือตัวโลกนั่นเอง และโลกมีปฏิสัมพันธ์ กับดวงอาทิตย์ และกาแลกซี่ต่างๆ อันกอร์ปไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่มากมาย มาลองทำความรู้จักองค์ประกอบหลักๆของโลกกันก่อนจากแผนภูมิจำลองออกมาให้เข้าใจง่ายๆดังนี้
ทีนี้มาตรวจดูองค์ประกอบหลักๆในร่างกายของมนุษย์กันบ้าง | ||||
เจาะเข้าไปดูส่วนประกอบเป็นตัวคนที่เป็นหน่วยเล็กๆกันเลยคือเรียกว่า เซลล์ ในจิตทัศน์ของพระอาจารย์รัตน์ อธิบายโดยแผนผังเซลล์ที่เห็นนี้ ในส่วนของใจกลางเซลล์ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่านิวเครียส จะเป็นที่อยู่ของธาตุว่าง คล้ายๆกับพื้นที่ฮาร์ดดิสของระบบในร่างกาย ยังพอมีที่ว่างสำหรับบรรจุข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม ส่วนถัดมาส่วนที่ 2 รอบนิวเครียสเป็นที่อยู่ของพลังมโนธาตุ หรือธาตุรู้ ของจิตใจ ที่รู้ตามสภาวะของจิตใจในสถานะต่างๆกันไป ให้เกิดปัญญา ตั้งแต่เรื่องในระดับโลกๆหรือโลกียะ จนสูงขึ้นไปอีกระดับที่ละเอียดขึ้นในระดับเหนือโลกหรือระดับโลกุตระ นี่จะเป็นเรื่องของจิตใจ แล้วแต่การโปรแกรมของเราว่าจะเน้นรู้ทางใจ หรือที่จิต สำหรับการรู้ของจิต ก็ต้องนำพาจิต ให้เข้าไปถึงสภาวะจิตเดิมเสียก่อน มโนธาตุนี้เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีมิติซ้อนทับอยู่ในเซลล์ทุกๆเซลล์ทั่วร่างกาย และสืบต่อไปสู่เซลล์ใหม่เมื่อเซลล์เก่าสิ้นอายุขัย หรือพิกลพิการ ส่วนที่ 3 เป็นพลังปราณ หรือคลื่นพลังชีวิต ที่สิ่งมีชีวิตขาดพลังตัวนี้ไม่ได้ ต้องการถ่ายทอดพลังปราณที่ดีมาจากต้นแหล่งพลังงาน ส่วนใหญ่โลกรับพลังปราณมาจากดวงอาทิตย์ และกาแลกซี่ต่างๆ ซึ่งดวงอาทิตย์และกาแลกซี่ต่างๆรับพลังปราณมาจากแสงทิพย์อริยธรรมอีกที ส่วนที่เป็นคลื่นสีเหลือง เป็นคลื่นของความเมตตา ที่ใช้เยียวยาให้ทุกๆชีวิตที่เจ็บป่วย หรือให้ชีวิตมีพลังดำเนินต่อไปเป็นปกติ ชั้นนอกชั้นที่ 4 เป็นวัตถุธาตุที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้เช่นลมไม่มีตัวแต่รู้สึกสัมผัสแรงลมอ่อนหรือแรงได้ ลมจึงมีน้ำหนักเป็นธาตุนิดหนึ่งเพื่อการดำรงค์ชีวิต ส่วนดินเป็นธาตุแข็งที่จับต้องได้และมองเห็นได้ชัดเจน เช่นกระดูกมีธาตุดินเป็นหลักใหญ่ ธาตุน้ำเป็นธาตุที่ประกอบด้วยกาซออกซิเจน 1 ส่วน และกาซไฮโดรเจน 2 ส่วน เมื่อนำมารวมกันที่สภาวะเหมาะสมเกิดเป็นของเหลวหรือน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นต่อทุกๆชีวิต ทั้งประชากรบนโลกและชาวโลกอังคาร และโลกบาดาล ส่วนธาตุไฟ เป็นพลังงานที่จับต้องได้โดยใช้ความรู้สึกว่าร้อนหรือเย็น นี่จัดเป็นธาตุไฟ ที่กระตุ้นให้ร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีพลังทำงานต่างๆได้ ร่างกายหรือเซลล์ได้รับพลังงานมาจากอาหารและน้ำ และองค์ประกอบอื่นๆอีกหลายชนิด นำมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน ภายในโรงงานย่อยๆภายในเซลล์ โดยสัตว์ตัวจิ๋วอีกประเภทหนึ่ง ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า mitochondria ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำ อาหาร อากาศ และเกลือแร่ วิตามิน ต่างๆ ให้เป็นพลังงานและของเสีย พลังงานในร่างกายนำไปใช้เคลื่อนไหว และคิดคำนึงผ่านระบบสมอง และเอื้อให้ร่างกายมีพลังงานพัฒนาจิต โดยอาศัยร่างกายเป็นฐานปฏิบัติการอย่างหนึ่ง ไปสู่ 'ทาง'ของแต่ละคน ที่มีอยู่แล้วประจำจิตของทุกๆสรรพสัตว์ มนุษย์ใช้สิ่งประกอบหลัก ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบขึ้นเป็นตัวตน ขันธ์ 5 ตามการโปรแกรมสร้างสรรของจิตที่มาปฏิสนธิในครรภ์มารดา และอุปกิเลสทั้งหลายที่เป็นเชื้อพลังงาน สืบต่อให้เกิดภพชาติวนเวียนต่อไปเป็นวัฏจักร และสามารถทำให้หมดเชื้อเกิดได้บนโลกนี้ด้วยอุปกรณ์ เครื่องมือของพระพุทธองค์ ผู้ชี้ทางรอดอันแท้จริงให้แก่มนุษย์ หรือพึ่งพาความเมตตาของพ่อเกิดแม่เกิด ของทุกสรรพชีวิตทั่วอนันต์จักรวาล คือพระบรมธรรมบิดา สิ่งต่างๆเหล่านี้รวมกันทำหน้าที่ต่างๆเป็นองค์ประกอบของชีวิต ที่มาเกิดบนโลกนี้ พึ่งพาพลังงานต่างๆที่แม่โลกรับมาจากแหล่งพลังงานต่างๆอีกที นำมาแปรรูปในลักษณะต่างๆ ผ่านพืชผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ น้ำ อากาศ และดิน เพื่อให้ทุกๆชีวิตดำรงค์อยู่ในแต่ละช่วงอายุขัย ของแต่ละเจ้าของชีวิต ภาวะปัจจุบันที่โลกและสรรพสัตว์ทั้งหมดกำลังเผชิญอยู่ ในหัวข้อกาแลกซี่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโลกและสุริยจักรวาล ที่ใกล้ชิดมากต่อชะตาของโลก คือกาแลกซี่ทางช้างเผือก และไตรแองกุลัม ปัจจุบันสุริยจจักรวาลถูกแรงดึงดูดของกาแลกซี่ไตรแองกุลัมถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมากยิ่งขึ้น ขอย้อนมาที่เรื่องสดๆร้อนๆเมื่อ 2 เดือนมานี้ "ดร.สมิทธ ธรรมสโรช" ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หนึ่งในผู้ที่ทำนายเหตุการณ์ "สึนามิ" เมื่อปี 2547 ไว้ล่วงหน้าได้ถูกต้อง และครั้งนี้ก็ให้สัมภาษณ์ไว้เกือบ 1 เดือนว่า ในวันที่ 12 มิถุนายน เมื่อดาวเรียงตัวกัน 2 ชุดนี้ จะทำให้เกิดพลังมหาศาลส่งมายังโลก และอาจเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหลายระลอกขนาด 7-8.5 ริกเตอร์
ผลลัพล์ที่อาจเกิดขึ้นตามคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.สมิทธ ได้รับการโต้แย้งคัดค้าน จากกลุ่มอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ภาคฟิสิคส์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาเรื่อง "ตอบทุกคำถามต่อการล่มสลายของโลก" ในวันที่ 25 พฤษภาคม โดยยืนยันชัดเจนว่า ไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก แม้จะมีดาว 3 ดวงเรียงตัวขนานกับโลกก็ตาม ที่สำคัญสถิติการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทั่วโลก ก็ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่าง การเรียงตัวของดวงดาว และสนามแม่เหล็กโลกก็ไม่ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลันจนน้ำท่วมโลกด้วย และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ก็ยืนยันตรงกันว่า การเรียงตัวของดาวเคราะห์ไม่มีอิทธิพลต่อแรงดึงดูดมากไปกว่าปรากฏการณ์น้ำ ขึ้นน้ำลง และในวันที่ 12 มิถุนายน จะไม่มีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และเกิดสึนามิตามที่มีข่าวลืออย่างแน่นอน เหล่านี้เป็นการยืนยันตามความรู้ที่ผู้สันทัดกรณีต่างออกมายืนยันความเป็นไปไม่ได้ออกมาในทิศทางเดียวกัน มีรายงานข่าวว่า แรงสั่นสะเทือนครั้งนี้ไปไกลกว่า 1,000 กม. ทำให้ชาวบ้านในประเทศอินเดียตกใจวิ่งหนีตายออกจากบ้าน เช่นเดียวกับชาวบ้านน้ำเค็ม หมู่ 2 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เกือบ 2,000 คน อพยพออกจากหมู่บ้านเพราะหวาดกลัวว่าจะเกิดสึนามิเช่นกัน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวตามมาจากเหตุการณ์ดาวเรียงตัวแล้วเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจริงตามที่ ดร.สมิทธ ให้ข่าวแจ้งวันที่ล่วงหน้าเอาไว้ ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการโต้แย้งตามตำราที่ตนได้เล่าเรียนมา ออกมาอธิบายเหตุผลว่าทำไม่แผ่นดินไหวจึงเกิดขึ้น ตามที่มีผู้แจ้งข่าวเตือนภัยชาวโลก และเช่นเดียวกันบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้รู้มากกว่าใครๆเคยให้ข่าวสัมภาษณ์สื่อว่าที่ใดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่แล้ว เช่นบริเวณแถบใกล้ๆเกาะสุมาตรานั้น เปลือกโลกต้องสะสมพลังงานอีกนับเป็นร้อยปี จึงจะมีแผ่นดินไหวในบริเวณเดิมเกิดขึ้นได้อีก แต่แล้วไม่ช้านานเพียงปี 2 ปี ให้หลังก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6-7 ริกเตอร์เกิดขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่ได้ยินว่านักวิทยาศาสตร์จะออกมาแก้ข่าวว่าอย่างไร......น่าจะโยนความผิดพลาดไปให้ผู้แต่งตำราที่ตนเองได้เล่าเรียนมา ปรากฏการณ์ดาวเรียงตัว จะค่อยๆมีปรากฏให้ชมกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำพลังเส้นแรงแม่เหล็กต่างขั้วมาประสาน พลังงานกัน ไม่ต่างจากแบตเตอรี่ในกระบอกถ่านไฟฉาย ใส่ถ่านหลายก้อนพลังส่องสว่างก็แรงกว่าถ่านน้อยก้อน เนื่องจากดวงดาวทุกดวงมีพลังเส้นแรงแม่เหล็กร้อยรัดกันอย่างซับซ้อน ไม่ได้ลอยอยู่ในอวกาศอย่างอิสระตัวใครตัวมัน
ในช่วงระยะเวลาการปรับเปลี่ยนพลังงานของโลกเป็นช่วงที่ถึงกำหนดการเดินทางเข้ามาและกลับของดาวหางดวงใหญ่กว่าโลก 4 เท่าหนักกว่าโลก 23 เท่าได้เดินทางผ่านทะลุ Ecliptic เมื่อปี 2003 ออกไปนอกสุริยจักรวาล ตั้งหลักและวกกลับในรอบขาออก ซึ่งคาดว่าจะทะลุผ่าน Ecliptic อีกวาระหนึ่งในปี 2012 ปัจจุบันนี้ดาว2หางกำลังอยู่เหนือ Ecliptic เหนือวงโคจรของดาวศุกร์ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 44 ล้านกิโลเมตร และเมื่อดาวหางดวงนี้ หรือ Planet X ลงมาที่ Ecliptic และม้วนตัวออกจาก Ecliptic จากไปยังดาวคู่แฝดที่อับแสงของดวงอาทิตย์นั้น พลังงานแม่เหล็กของดาว หางดวงนี้ จะดูดดึงพื้นที่สนามแม่เหล็กบนแนวรอยแตกที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติคตอนใต้ และลากจูงเปลือกโลกส่วนนี้ไปประมาณ 90 องศาเปลี่ยนไปสู่ขั้วโลกเหนือใหม่ ผลกระทบต่อมนุษย์ต่อการขาดแคลนพลังงานที่สำคัญต่างๆในแกนพลังงานของโลก มีมากมายหลายรายการ ซึ่งผู้สนใจแวะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ลิงค์นี้ ส่วนผลกระทบของโลกและพลโลกต่อวิบัติกาล และเป็นดาวฤกษ์ด้วยนั้นเป็นเรื่องที่มนุษย์ในยุค 3,000 กว่าปีไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ที่วงโคจรนี้จะเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนโลกไปสู่ยุคใหม่ ย้ายไปสังกัดอยู่ในพลังแรงดึงดูดสนามแม่เหล็กของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม แม้จะเป็นกาแลกซี่ที่จะให้สิ่งแวดล้อมที่ดีหลายประการแก่ผู้ที่รอดไปมีชีวิตในยุคใหม่ แต่การข้ามแดนจากยุคเก่าไปสู่ยุคใหม่ก็ยากที่จะคาดเดา ว่า มนุษย์ชาติปัจจุบันจะประสบสิ่งเลวร้ายต่างๆที่คิดไม่ถึงอย่างไรบ้าง ท่านที่สนใจก็ลองแวะศึกษาข้อมูลต่างๆได้ที่ลิงค์นี้ นอกจากสิ่งแวดล้อมของโลก และจักรวาลแล้ว มาที่ร่างกายของทุกคน จะเตรียมตัวก่อนมีวิบัติกาลอย่างไรนั้น เราลองมาศึกษานิยามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแกน ของหมอแกน ดังนี้: คำนิยาม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแกน มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ในช่วง ค.ศ.1970 ผู้คิดค้น คือ หมอแกน ทฤษฎีนี้ต้องการพิสูจน์ในโลกได้รู้ว่า ยังมีการรักษาโรคอีกแนวทางหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะรักษาโรคต่างๆได้ด้วยตนเอง ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งยาที่ทำมาจากสารสังเคราะห์หรือสารเคมีใดๆ เลย การถอดแบบโครงสร้างของคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้านี้ เราจะเรียกมันว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแกน วิธีการก็คือ การถอดรหัสคลื่นทั้งหมด 275,000 ตัว ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ก่อนแล้วที่อยู่ภายในโครชิพที่สมอง โดยการถอดรหัสคลื่นในอากาศให้ได้มีค่าความถี่ของคลื่นทุกตัวในไมโครชิพที่สมอง เพื่อให้ได้มีสัดส่วนของโครงสร้างคลื่นทั้งหมด 275,000 ตัว มีจำนวนโครงสร้างคลื่นความถี่ที่มีค่าเท่ากันทุกๆ ตัว การถอดรหัสคลื่นในอากาศนี้ จะเป็นตัวช่วย 2 เรื่องในร่างกายเรา
นอกจากอาหารวันละมื้อให้พลังงานแก่เซลล์ทั่วร่างกาย ในนิยามของหมอแกน เซลล์จะได้รับพลังงานจากอากาศอย่างเต็มที่ ด้วยระบบการหายใจโพเพทัส ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องฝึกฝน และหาสถานที่สูง 700 เมตรขึ้นไป ให้ได้รับอากาศดีด้วย จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการหายใจ (เนื่องจากใกล้ผิวโลก มีมลภาวะมาก ชั้นอากาศดีลอยขึ้นไปอยู่สูง โดยมีท่านผู้รู้ในเรื่องนี้ชัดเจนได้ชี้แจงเอาไว้ และยังได้สร้างอุปกรณ์ช่วยชีวิต สำหรับบรรดาศิษย์ที่เข้าใจภาวะปัจจุบันใช้ติดตัว และกำลังประสบปัญหาในการหายใจ และไม่สะดวกในการย้ายถิ่นฐานขึ้นไปอยู่ในที่สูงถึง 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ดังนั้นผู้ฝึกระบบโพเพทัส จะช่วยลดความต้องการอาหารลงเหลือเพียงมื้อเดียว ไม่ต่างกับพระธุดงค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มานานแล้ว ส่วนในรายละเอียดของโพเพทัส ยังมีผลพลอยได้ด้านจิตใจตามมาอีกหลายประการ ที่ยังกำลังคอยดูผลจากผู้ที่ปฏิบัตินำมาเเผยแพร่ต่อไป หรือผู้ที่ลงมือทำจะสัมผัสความจริงต่างๆได้ด้วยตนเอง จนกระทั่งรู้ว่าจิตได้แยกออกมาจากกายอย่างชนิดค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรง ในประเด็นหลังนี้ ผู้ปฏิบัติสามารถพัฒนาการต่อเนื่อง ด้วยระบบโพเพทัส หรือนำมาต่อยอดกับวิธีเดินมรรค ของพระอาจารย์รัตน์ ก็ได้ หรือจะนำไปต่อยอดกับวิชาอภิญญาใหญ่ หรือแสงทิพย์ ก็ได้ แล้วแต่จะเลือกเอา ทฤษฎีโพเพทัส ของหมอแกน น่าจะเป็นวิธีการผสมผสาน ฝึกเอาไว้ใช้กับเวลาโลกวิกฤต หรือยามวิบัติกาลของโลกได้ดี เหมาะกับสิ่งแวดล้อมในเวลานั้น ในวิบัติกาลโลกคราวนี้จะเหลือผู้รอดชีวิต 10 % ส่วนจิตวิญญานของผู้ใกล้ตายนั้นเป็นอย่างไร ลองมาฟังรายงานของคุณ Zeta The soul of a dying individual is often not in the body at the time of death. We have explained that some souls move on to their next incarnation even years before the physical death of the body, which might be in a coma. Pneumonia is know to produce coma well before death. Thus, saying goodby, the soul visits those still incarnated, who might thus have conversations with the departing soul....ซึ่งหลายๆคน ก็มีประสบการณ์เกิดขึ้นกับตนเองในทำนองเดียวกันนี้เพียงแต่ไม่ทราบขั้นตอนรายละเอียดเท่านั้น และมิติของนรกนั้นมีอยู่ By "the creature" we did not mean that particular creature but the species. The species, on a prison planet, exists today. สำหรับผู้ที่สามารถพ้นจากโลกนรก ต้องไปต่อที่สะดือทะเลในโลกของปลาหมึกในสถานที่กักบริเวณต่อไป
One's spiritual orientation is not fixed, and can and does on occasion change. Those who are Service-to-Other and choose as an occupation to be a Star Child, to return to 3rd density worlds to assist the development of young souls there, run the risk of slipping back into the undecided category. Likewise, there are those on Service-to-Self prison planets who examine their prospects on such a world and see the error of their ways. This requires more than an intellectual determination to change, but what might be termed emotional regret. All Service-to-Self souls at one time experienced empathy, but suppress this, which is one reason the Service-to-Self will leave a vicinity that is highly Service-to-Other, as they are tugged back to remember these times. This is considered a distraction from the Service-to-Self goals, which are to solely serve the self. The Spirit Guides who are in attendance on Service-to-Self worlds recognize a genuine regret, and if sufficient, transfer this soul to incarnate on an undecided world. แม้ได้มาเกิดเป็นคนบนโลกแล้ว เลือกเดินทางชีวิตไปทางมืด ก็ทำให้ลำบากและเสียเวลาเนิ่นนานทีเดียวกว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นคนบนโลกใหม่ หรือโลกอาจไม่มีแล้วก็ได้ในช่วงนั้น เชิญทุกท่านร่วมช่วยกัน....ส่งข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนๆต่างวัยทุกคน ฟรี ที่ลิงค์ /article385.html
| ||||