ในทัศนของเศรษฐกิจพอเพียง http://ainews1.com/article433k.html ถามตอบระบบเศรษฐกิจพอเพียง
ธุลีกองฟอน : ระบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ทำให้คนยากจนดอกหรือท่าน พระศรีอาริยเมตไตรย์ : ไม่หรอก เราต้องพิจารณาจากทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีทั้งโลก (Total global resource) แบบตรงไปตรงมา แล้วเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เราทำได้ ซึ่งเราพบว่าเมื่อเราทำงานหนักด้วยแรงขับดับทางด้านทุนนิยม ทำให้เราได้ผลผลิตล้นเกินพอดี เสื้อผ้าเรามีมากมาย สองสามตู้ไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ทันเก่า และไม่ขาดวิ่น บ้านเราหลังใหญ่พอที่จะจัดงานบวชลูกชายได้ แต่เราใช้นอนจริงๆ ไม่เท่าไร รถยนต์เรามีหลายคัน วิ่งเปลืองน้ำมันหมดเงิน วิ่งรอบไปมาเพราะการวางผังเมืองที่ไม่ดี แต่นั่นก็ไม่เพียงพอแต่การสนองตอบต่อความเบื่อของเราได้ อาหารเรากินเต็มโต๊ะแต่ว่ามีเศษอาหารเหลือมากมายในแต่ละจาน จริงๆ แล้วผลิตผลมวลรวม (GDP) ของเราสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลกด้วยซ้ำไป นี่เกิดจากการผลิตแบบปกตินะ ชาวไร่ชาวนายังไม่ได้ทำงานเต็มที่ (Full-employment) ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาด้านความขาดแคลนหรือปริมาณในผลิตผลที่ทำได้ แต่เรามีปัญหาด้านประเภทผลิตภัณฑ์ (Product variety and quality) และการกระจายผลิตภัณฑ์ (Total distribution) มากกว่า จุดนี้เอง ทำให้ผลผลิตมวลรวมที่ได้ปริมาณมากเกินพอดีแล้ว (Over productivity) เป็นไปในด้านที่ขาดคุณภาพ (Low quality) บางอย่างสร้างขึ้นมาสนองกิเลสตัญหา และช่วยก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางการกระจายรายได้ (Unbalance of product distribution) ยังกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมสูงขึ้นอีก ทำให้รัฐบาลมีต้นทุนค่าดูแลสังคมเพิ่มขึ้น (High social capital) เจ้าหนี้เริ่มฟ้องล้มละลาย ผู้บริหารเริ่มสร้างภาพลักษณ์ออกโฆษณาสร้างความน่าเชื่อถือ มีแต่ภาพลักษณ์และอนาคต แต่ไม่มีผลงานทั้งในด้านทางการตลาดซึ่งวัดง่ายๆ ด้วยยอดขาย (Sale volume), ความภักดีต่อตราสินค้า (Brand loyalty) และอัตราการทำกำไร (Profit margin) หรือแม้นแต่ปริมาณการผลิตที่คุ้มทุน (Economic of scale uncontrollable) เรา ก็ควบคุมไม่ได้ เพราะผลิตยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน คู่แข่งขันก็ออกสินค้าตัวใหม่ ลูกค้าเห่อก็ไปซื้อตัวใหม่ กรณีนี้เห็นบ่อยในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิก ซึ่งกำลังจะล้มละลายอีกมาก มีทางเดียวคือหาตลาดใหม่เมื่อตลาดคลายตัวลง (Decline) นี่คือปัญหาที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือ ตัวระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ปริมาณทรัพยากรที่มี (Resource quantity) หรือด้านแรงงาน (Labor force) ใดๆ เลย
ระบบการเมืองการปกครองก็ต้องพังตาม มันเป็นธรรมชาติที่พึ่งพากันแบบนี้นี่แหละ เมื่อคนอดอยาก คนก็ขาดความเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามที่แย่งชิงอำนาจก็จะใช้โอกาสนี้ ใส่ความก่อม๊อบขึ้นมา เช่น การเลียนแบบการถล่มตึกเวิล์ดเทรด โดยการวางระเบิดในที่สำคัญ ใช้ระเบิดแบบโจรใต้ แต่วิธีการแบบโจรใต้เป็นวิธีเฉพาะ เลยทำเลียนแบบไม่ได้ แล้วแสร้งเขียนเครื่องหมายบ้าๆ บอๆ ให้คนคิดว่าเป็นผู้ก่อการร้ายไปเสียนี่ เพื่อให้ภาพลักษณ์การบริหารประเทศตกต่ำ คนขาดความมั่นใจในเศรษฐกิจ แล้วปั่นม๊อบขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ที่นี้คนไทยก็ฆ่ากันเองเหมือนอดีต แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังก็กลับมายึดอำนาจ แสดงตนเป็นวีรบุรุษไป ที่ทำไปเพราะกำลังถูกริบทรัพย์ฐานฉ้อโกง ที่เล่านี้เป็นเหตุการณ์สมมุตินะ ไม่ว่าใคร อย่าคิดมาก แต่ถ้าคิดน้อยแล้วคิดได้ก็ไม่ว่ากัน ความคิดใครความคิดมันผมห้ามไม่ได้ แต่ที่เราจะล่มจมเพราะนายทุน จะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เพราะยอดขายไม่ทำกำไร เพราะการผลิตและการแข่งขันที่ไปหดกำไรส่วนต่างลงต่างหากละ มันเป็นปัญหาของระบบทุนนิยม ระบบเงินกู้ และระบบบริโภคนิยม ที่ก่อตัวขึ้นในทันทีที่กระแสทุนนิยมหยุดไหล ทุกอย่างมันถูกจุดให้วิ่งไปหยุดไม่ได้ นี่ละ ระบบทุนนิยม มันหยุดไม่ได้จริงๆ มันไม่มีสมดุลในตัวมันเอง มันขาดเสถียรภาพที่แท้จริงในตัวมัน มันเป็นแรงผลักเปิดให้พุ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติที่มีขึ้นมีลง ทุกอย่างเป็นอนิจจัง แม้นแต่การผลิตที่มากเกินไป สุดท้ายก็ทำให้ต้นทุนเพิ่ม การแข่งขันที่มากเกินไป สุดท้ายก็ทำให้อัตราส่วนกำไรลดลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยวิ่งไปข้างหน้าตลอด มันย้อนถอยหลังไม่ได้อย่างแท้จริง เจ้าหนี้เขาจะฟ้องเอา เป็นเถ้าแก่จากเมืองจีน ทำงานหนักมาก กินให้อ้วนเป็นหมู สร้างบ้านให้ใหญ่แต่นอนตายแต่นิดเดียว สุดท้ายชีวิตทั้งชีวิตจบลง อ้าวจบแล้วหรือ ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากงานอย่างเดียว อิสระภาพไม่มีจริง จ้างตัวเองทำงาน จ้างทาสมาประจำคอกต่อ แล้วจ้างลูกให้เป็นเศรษฐีโง่ ที่ใช้เงินไปทำร้ายตัวเองแบบโง่ๆ อย่างที่ลูกเศรษฐีเขาตกเป็นข่าวกัน เป็นความรวยแบบนี้หรือที่คุณต้องการ หรือคุณต้องการรวยอิสระ มีเวลาที่จะค้นหาความหมายในชีวิต จาริกแสวงบุญ หรือออกไปท่องเที่ยว ราวกับกามนิตหนุ่มผู้ค้นหาความหมายของชีวิตแล้วพบรัก ต่างแดนอันแน่นแฟ้น ซึ่งคุณอาจได้แต่งงานกัน และจดจำไปจนวันตายไม่รู้ลืม ไม่ใช่เอาเหอะวะ แก่แล้ว พร้อมแล้วทั้งคู่อย่าเลือกมากเลย ไม่มีเวลาดูใจหรอก เดี๋ยวก็ไม่มีสามีกันพอดี หน้าตาพอดูได้ ทำงานใกล้ๆ กัน เอาเหอะวะ แบบนี้มันขาดรสชาติชีวิต คนนะครับ ขาดอิสระภาพแห่งความเป็นคน เพื่อไปเป็นหมูในกรง ถึงเวลาผสมพันธุ์ก็เอากันข้างๆ คอกนี่หรือไง นี่หรือระบบทุนนิยม ทำให้ความเป็นคนตกต่ำไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คุณได้มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่แรกเกิด แบบที่เศรษฐีไม่มีแม้นแต่เวลาจะให้ลูกกินนม แต่มีเงินเยอะนะ ไปจ้างเขาเลี้ยง ราคาแพงเหมือนหมาชั้นดีเลย แล้วเอามาเล่าในวงสังคมว่าชั้นส่งลูกไปเลี้ยงโรงหมาราคาแพงดี ในขณะที่ชาวนาที่ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เห็นหน้าตากันตลอด ช่วยกันทำงานตลอด เขาจึงรักกันมาก แม้นยากจนมากก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้วัตถุนิยม เพราะกระแสทุนนิยมมันบีบบังคับให้เขาทิ้งไร่ทิ้งนา อันมีแต่ความสุขสงบไป ตัวอย่างเพื่อนของผมก็หลุดพ้นนิพพานแล้ว ทำงานในบริษัทเอกชน เจ้านายยังต้องนับถือเกรงใจ ผลงานก็ดีใช้ปัญญาทำงานได้ดีเวลาน้อย แถมมีรอยยิ้มให้คนรอบข้างตลอดวัน มีอิสระในทุกที่ทุกเวลา ไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหน อย่างที่อธิบายว่าเงินมากมาย ของต่างๆ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะดูความต้องการทางร่างกายของเราสิ มันต้องการแค่ไหน เราไปสนองความต้องการทางใจด้วยวัตถุ ซึ่งเป็นความผิดที่โง่เขลา การสนองความต้องการทางกายที่พอเพียงแล้ว ตามหลักความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์ คือ การสนองความต้องการทางสังคมและจิตใจ ซึ่งความต้องการทางสังคมนี้ มันเกิดเมื่อเราปรับตัวเข้าสังคมได้ดี อันเป็นลักษณะของพระอรหันต์
หากโครงการดีก็ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ถามว่ารัฐบาลปล่อยให้ลางานไป ใครจะทำแทน ปริมาณแรงงานไม่ลดลงหรือ รัฐบาลเอาเงินที่ไหนมาสนับสนุน ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าประ สิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น จึงลดปริมาณแรงงานลงได้ คนที่ทำงานทั้งวันเครียดมากประสิทธิ ภาพการทำงานก็ลดลงอย่างที่เห็นอยู่ งานทุกวันนี้เราใช้สมองไม่ใช่หรือครับ ทำไมมันคิดนานจัง แสดงว่าสมองเราไม่ปลอดโปร่ง หรือเราเครียดเรามีอีโก้ อัตตาสูง เถียงกันไม่จบ แบบนี้ถ้าลดอีโก้หรืออัตตา โดยวิธีการทางพุทธศาสนาก็ใช้เวลาประชุมน้อยลง ได้ข้อสรุปแบบผู้มีปัญญามากขึ้น จริงไหมครับ นอกจากนี้การสนับสนุนให้คนไปจาริกแสวงบุญและเดินทางสู่ธรรม จะทำให้ผลิตคนดีให้ประเทศมาปกครองประเทศโดยธรรมต่อไป ระบบแบบนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องผลิตคนดี ให้คนดีมาช่วยคนอื่นเช่นนี้เรื่อยไป แต่เรามักคิดว่าคนดีเป็นคนโง่ ซึ่งผิดอย่างแรง คนเลวต่างหากที่โง่บัดซบ แต่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เช่น การประจบสอพลอบ้าง, การใส่ร้ายป้ายสีบ้าง, การแย่งผลงานบ้าง, การพูดดูดีพรีเซ้นตืเก่ง แต่ลงงานจริงไม่เป็นบ้าง ฯลฯ ในขณะที่คนดีมักมองรอบด้านรอบคอบ จึงคิดช้ากว่า บ้างก็มองลึกซึ้งจนอธิบายยากบ้าง, บ้างก็เห็นปัญหาในอนาคตที่คนไม่มอง จึงไม่กล้าเสนอออกมาบ้าง ดังนี้เราจึงเสียบุคลากรที่ดี ทั้งที่เขาอยู่ในองค์กรของเรานี่เอง เพราะอะไรละ เพราะผู้บริหารไม่ใช่เจ้าของเงิน เขาย่อมบริหารเพื่อความพึงใจของเขา ไม่ได้เห็นประโยชน์ของคนดีที่ทำเพื่อองค์กร แต่เข้าข้างคนเลวที่เข้าได้กับตนได้ด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโกงกินหรือประจบสอพลอ ดูประเทศเราก็ได้ คุณเชื่อไหมว่าคนดีมีความสามารถยังมีอยู่ในประเทศไทย ผมคิดว่าคุณมีคำตอบในใจมากกว่าหนึ่งคนนะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเสนอหน้าลงสมัครให้คุณเลือกเลยสักคน เพราะเขาไม่ต้องการลงไปอยู่ท่ามกลางสงครามขว้างขี้ ของนักการเมืองในอดีต (ปัจจุบันดีแล้วระดับหนึ่ง) ที่ ถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ ยังไม่ได้รับรายงาน รู้อยู่อย่างเดียว คือ ผมมีหลักฐานทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นตระกร้า และจะนำมาแสดงสาดใส่กันให้ฟังเร็วๆ นี้ จบข่าว สุดท้าย ความเบื่อของประชาชน ก็หันไปดูข่าวเม้าท์ดาราแทน ดาราดังมากๆ ก็หันมาเข้าวงการการเมือง มีแต่อะไรที่น่าเบื่อน้ำเน่าวนเวียนอยู่แบบนี้ ผมคิดว่าคนไทยฉลาดกว่าคนอเมริกันด้วยซ้ำ ในการการมองคน และมุมมองการเมืองการปกครอง แต่เราอ่อนด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง สังเกตได้ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของเรา แม้นเริ่มต้นที่หลังอเมริกาแต่เราไปได้เร็วกว่านะ ที่เห็นว่าอเมริการุ่งเรืองนั้น รุ่งเรืองเพราะการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ให้นานาประเทศ อยู่ภายใต้ระบบทาสจำยอม แค่นั้นเอง แต่ในด้านการปกครองเขาตกต่ำมาก ต่างกันอย่างไร ชัดเจนครับ เศรษฐกิจไม่ใช่การปกครอง เศรษฐกิจก็แค่รวยผลิตได้มาก ได้เงินมาก แต่การปกครองหมายรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาสังคม การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม การลดอาชญากรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อเมริกันสอบตกหมดทุกประตู เมื่อเศรษฐกิจเขาพัง ทุกอย่างก็ล่มสลายลง เพราะความเคยชินในการใช้เงินแก้ปัญหามันทำให้เขาไม่มีเครื่องมืออื่นในการ แก้ไขปัญหาสังคม และการปกครองประเทศ นับเป็นการตอบคำถาม ที่แหลมคม เพื่อประชาชน ส่วนรวมของประเทศ ซึ่งบรรดาผู้เต็มไปด้วยความโลภในปัจจุบัน คงมิอาจวางมือลงได้ จนกว่าเศรษฐกิจโลก พังทะลายลงโดยสิ้นเชิง หลังจากโลกประสพภัยพิบัติ ทั่วทั้งโลก หลัง 9 May 2556 เป็นต้นไป พอพ้นปี 2557 ไปแล้ว เงินทุกสกุลของโลก ก็จะหมดสิ้นความหมาย หลังจากนั้น เศรษฐกิจพอเพียง จึงจะโผล่หน้าออกมาได้ ปัจจุบันน้ำน้อยคงไม่สามารถนำไปดับไฟที่กำลังโหมแรงได้ ใช้โพมดีขนาดไหนยังไม่สำเร็จ สรุปได้ว่า เตรียมเงินทองไว้แต่เพียงพอ ให้ประคองชีวิตของทุกๆคนให้ผ่านพ้น ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก นับแต่นี้ จนสิ้นปี 2060 จงทั่วกัน เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนๆต่างวัยทุกคน ฟรี ที่ลิงค์ /article385.html
| ||||